หลังปรากฏภาพ แอมมี่ The Bottom Blues หรือนายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ ขณะนอนบนรถเข็นโรงพยาบาล ปิดตาซ้าย เพื่อมารับฟังคดีที่สำนักงานอัยการสูงสุด เมื่อวันที่ 17 ก.พ.64
โดยเจ้าตัว ได้เปิดเผยใน เฟสบุ๊ค The Bottom Blues ช่วงหนึ่ง ระบุว่า มเป็นโรคกระจกตาโป่งพอง (Keratoconus) ผมเป็นมาหลายปีแล้วและไม่มีโอกาสได้ผ่าตัด
ล่าสุดทางด้าน วิมล ไทรนิ่มนวล(นักเขียนซีไรต์) ได้โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัวถึงกรณีดังกล่าว ระบุว่า… “คุณจะเป็นอย่างที่คุณคิดและทำ”
ตอนเรียนชั้นประถมศึกษา 1-4 ผมไม่อยากไปโรงเรียนเลย เพราะกลัวจะตอบคำถามของครูไม่ได้ กลัวครูดุและตีเมื่อทำการบ้านผิดหรือทำไม่ได้ กลัวเพื่อนบางคนที่หาเรื่องชกต่อย และอึดอัดเมื่อต้องนั่งคาเก้าอี้อยู่แต่ในห้อง ทั้งหมดทำให้ผมเครียด ผมจึงต้องหาเรื่องเพื่อเป็นข้ออ้างที่จะไม่ต้องไปโรงเรียน “เรื่องที่ผมหา” ก็คือเรื่อง “ปวดหัว” ผมจะบอกกับพ่อแม่ว่าผมปวดหัวในตอนเช้า แต่พ่อแม่ไม่เชื่อ ผมจึงต้องคิด(สั่งตัวเอง)ให้ปวดหัวและแสดงอาการประกอบด้วย ไม่นานนักผมก็ค่อยเริ่มปวดหัวและปวดมากขึ้น
แต่กระนั้นผมก็ต้องไปโรงเรียนอยู่ดี เพราะพ่อแม่สั่ง อีกทั้งกลัวครูตีถ้าไม่ไป และยังกลัวเรียนไม่ทันและสอบตก ผมจึงต้องไปโรงเรียนทั้งที่ปวดหัว มากบ้างน้อยบ้าง มึนทึมบ้าง ชีวิตที่เคยปรกติกลับมีความขัดแย้ง (ไม่อยากไป-ต้องไป) เข้ามาฝังและรบกันมานับแต่นั้น
มันฝังและรบกันอยู่ในชีวิตผมแม้เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ซ้ำยังมากขึ้นด้วย ยามใดที่มีนัดต้องไปพบใครสักคน ผมจะนอนไม่หลับด้วยความกลัวว่าจะป่วย พอเช้าก็ป่วยจริง มากบ้างน้อยบ้าง และต้องพึ่งยาแก้ปวดเสมอ จนทุกวันนี้ผมก็ไม่กล้าไปไหน ไม่กล้าไปพบใคร ไม่ว่าจะอยากไปแค่ไหนก็ตาม
ทั้งหมดมันเป็นผลจาก “การคิด” และ “การกระทำ” คิดดีและทำดี ชีวิตก็ย่อมดี คิดชั่วและทำชั่ว ชีวิตก็ย่อมชั่ว ยิ่งย้ำคิดย้ำทำ..ก็ยิ่งทำให้มันเติบโตและฝังรากอยู่ในชีวิตจนไม่สามารถถอนทึ้งมันออกไปได้ จนมันเป็นบุคลิกภาพ และสุดท้ายก็กลายเป็นชะตากรรม พุทธศาสนาเรียกว่า “กรรมและวิบาก” กัมมชรูป-จิตตชรูป
บุคคลในภาพนี้..ล้อเลียนในหลวงรัชกาลที่ 9 ด้วยการปิดตาข้างหนึ่งเสมือนว่าบาดเจ็บ เขาอาจรู้สึกลำพอง สะใจ และได้ใจจากฝ่ายเดียวกัน แต่จิตเขานั้นไร้สติปัญญาและต่ำทราม จิตที่ต่ำทรามกระทำต่อบุคคลที่มีคุณสมบัติจิตที่สูงกว่า ชีวิตเขาจะได้รับผลแห่งการคิดและการกระทำที่เร็วและแรงกว่าผมมากมายนัก ตาของเขาอาจจะไม่บอดจริง แต่ใจเขาบอดมืดมิดอยู่แล้ว เขาจะยิ่งเห็นผิดเป็นถูก เห็นนรกเป็นสวรรค์ และมันจะเป็นคุณสมบัติจิตที่พอกพูนมากขึ้นและตลอดไป เขากำลังบ่มเพาะชะตากรรมอันชั่วร้ายให้ชีวิตตัวเองอยู่ และผลของมันก็รอเขาอยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องเป็นผลของการใช้กฎหมาย.